เจ้าอาวาสวัดบ้านเกิดอดีตพระมหาไพรวัลย์ ยอมรับเสียดายความสามารถ มีปฏิภาณความจำดีแต่เด็ก
เจ้าอาวาสวัดวัดดัง ญาติพี่น้อง ชาวบ้านถิ่นเกิด อดีตพระมหาไพรวัลย์ เผยเสียดายความสามารถ อยากให้ครองผ้าเหลืองพัฒนาพุทธศาสนาต่อ ขณะบ้านพ่อปิดเงียบ หลบสื่อรบกวน
วันที่ 03 ธ.ค.64 เวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของอดีตพระมหาไพรวัลย์ หรือนายไพรวัลย์ วรรณบุตร พื้นที่บ้านหนองคัน หมู่ 4 ต.ตะกาดเง้า อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อพบกับครอบครัวของ อดีตพระมหาไพรวัลย์
เมื่อเดินทางไปถึง พบบ้านของ อดีตพระมหาไพรวัลย์ เป็นบ้านปูนหลังเดี่ยวชั้นเดียว ปลูกอยู่ระหว่างกลาง บ้านของญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน รวมอยู่ด้วยกันหลายหลังคาเรือน แต่พบว่า ประตูบ้านถูกปิดเงียบ มีเพียงคนงานก่อสร้าง ที่กำลังต่อเติมหลังบ้าน ขณะเพื่อนบ้านบอกว่า พ่อของ อดีตพระมหาไพรวัลย์ ไม่อยู่ไปทำธุระ และไม่อยากพบสื่อ ต้องการใช้เวลาส่วนตัว
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยัง โรงเรียนวัดตะกาดเง้า และวัดตะกาดเง้า ต.ตะกาดเง้า อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อตามรอยประวัติ จุดเริ่มต้นเส้นทางสายธรรมของอดีตพระมหาไพรวัลย์ โดยได้ไปพบกับ นายทัน มงคลสงวน อายุ 76 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 ต.ตะกาดเง้า ซึ่งมีศักดิ์เป็นก๋ง ลำดับญาติเป็นลูกพี่ลูกน้อง กับแม่ของ อดีตพระมหาไพรวัลย์
โดยนายทัน เปิดเผยว่า ครอบครัว อดีตพระมหาไพรวัลย์ หรือ นายไพรวัลย์ วรรณบุตร เดิมประกอบอาชีพก่อสร้าง มีบุตรคือ อดีตพระมหาไพรวัลย์ คนเดียว ไม่มีพี่น้อง การศึกษาตั้งแต่เล็กได้เข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา โรงเรียนวัดตะกาดเง้า
โดยนิสัยวัยเด็กของ อดีตพระมหาไพรวัลย์ เป็นเด็กเล่นซุกซนทั่วไป ชอบดูนางรำ การเล่นรำสวดไม่ยอมกลับบ้าน จนกว่าการละเล่นจะเลิก นอกจากนี้ครอบครัว พี่น้องของ อดีตพระมหาไพรวัลย์ เป็นตระกูลที่มีปฏิภาณไหวพริบ ความจำดีทุกคน
ส่วนที่ อดีตพระมหาไพรวัลย์ ตัดสินใจลาสิกขา ในส่วนของครอบครัว ญาติ พี่น้อง ตลอดจนชาวบ้านใน ต.ตะกาดเง้า รู้สึกใจหายและ เสียดายความสามารถของอดีตพระมหาไพรวัลย์ หากยังครองผ้าเหลืองและกลับมาจำวัดที่บ้านเกิด คาดหวังว่าจะสามารถ พัฒนาพระพุทธศาสนาให้เจริญก้าวหน้าดีดีแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็เคารพสิทธิส่วนตัวในการตัดสินใจครั้งนี้
ขณะที่ พระครูมุณีวรานุวัตร ญาณวโร เจ้าอาวาสวัดคลองตาสังข์ ต.ตะกาดเง้า ซึ่งเป็นวัดที่ อดีตพระมหาไพรวัลย์ เคยมาบรรพชาในโครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน
จุดเริ่มต้นสู่เส้นทางสายธรรม เปิดเผยว่า อดีตพระมหาไพรวัลย์ เคยมาบวชเณร ภาคฤดูร้อนที่วัดแห่งนี้ 2 ครั้ง สมัยตอนเรียน ป.5 และ ป.6 โดยมีความตั้งใจที่จะบวชเพื่อมาศึกษาธรรม ไม่ใช่บวชตามเพื่อน เหมือนกับเณรองค์อื่นๆโดยให้ผู้ปกครองพามาฝากตัวที่วัด โดยส่วนตัวเท่าที่ได้รู้จักกับ อดีตพระมหาไพรวัลย์ หรือ เณรเอก สมัยนั้น พบว่าสามเณรรูปนี้ มีความสามารถปฏิภาณไหวพริบ ความจำดีกว่าสามเณรรูอื่นๆ
โดยสามารถท่องบทกลอน บทสวด ในการสอนธรรมในโครงการได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าจะเปิดอ่านได้เพียงแค่ครั้งเดียว จนเคยเปรยทำนายภายในอนาคตว่า หากเณรเอกได้อยู่ศึกษาธรรมครองผ้าเหลืองต่อไปจนถึงบรรพชาเป็นพระภิกษุ อาจจะสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ได้เป็น นาคหลวง การศึกษาคณะสงฆ์ไทยได้อย่างแน่นอนและก็เป็นจริงอย่างที่เคยทำนายไว้
โดยภายหลังจากที่ เณรเอก ได้บวชสามเณรฤดูร้อน ครั้งที่ 2 พระมหาไพฑูรย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ ลูกน้องกัน ได้พาไปอยู่ที่ที่ จ.สุโขทัย เรียนนักธรรมและบาลีจนถึงอายุ 18 ปี จบเปรียญธรรม 7 ประโยค และไปเรียนต่อที่วัดสร้อยทอง จนจบนักธรรมเอก และเปรียญธรรม 9 ประโยค ซึ่งเป็นระดับชั้นสูงสุด ของการศึกษาแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย ซึ่งสามเณรไพรวัลย์ หรือเณรเอก ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ให้กับวงการสอบบาลีสนามหลวงหลังจากนั้น เมื่อครบอายุ 20 ปี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอุปสมบทเป็นนาคหลวง และจำพรรษาที่วัดสร้อยทอง เรื่อยมาจนปัจจุบัน ร่ำเรียนด้านต่างๆ
เพิ่ม ปริญญาโทพุทธศาสตร์ มจร. และนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ปัจจุบัน กำลังศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชาสันติศึกษา มจร. พร้อมทั้งยังเป็นอาจารย์สอน ที่โรงเรียนวัดสร้อยทอง และวิทยาลัยเทคโนโลยีวิมลบริหารธุรกิจ
โดยส่วนตัว ก็รู้สึกเสียดายความสามารถของ อดีตพระมหาไพรวัลย์ ที่ได้ตัดสินใจลาสิกขากลับเข้าสู่ทางโลก ทั้งนี้คาดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และเคารพในการตัดสินใจ อดีตพระมหาไพรวัลย์
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่